วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บวดฟักทอง

บวดฟักทอง



ส่วนผสมของบวดฟักทอง

* ฟักทองหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 2 ถ้วยตวง

* น้ำเปล่า 2 1/2 ถ้วยตวง

* หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง

* หางกะทิ 1 ถ้วยตวง

* น้ำตาลทราย 40 กรัม

วิธีการทำบวดฟักทอง

1. ทำความสะอาดและหั่นฟักทองเป็นชิ้นพอดีคำ เพื่อความสวยงามไม่ต้องปอกเปลือกออก

2. นำหางกะทิ, ใบเตย, น้ำตาลทรายใส่ลงไปในหม้อ และนำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลางจนเดือด

3. ใส่ฟักทองที่หั่นไว้แล้วลงไป ต้มต่อไปจนฟักทองสุกและนุ่ม (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที)
รับชมวิธีการทำเพิ่มเติมได้ที่ คลิก

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ลอดช่องสิงคโปร์

ลอดช่องสิงคโปร์

















ส่วนผสม

  • น้ำตาลปี๊บ 3 1/2 -4 ถ้วย
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • กะทิ 5 ถ้วย
  • ใบเตยหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1 ปอนด์
  • น้ำปูนใส 9 1/2 -10 ถ้วย
  • แป้งข้าวเจ้า 3 ถ้วย
  • แป้งมันสำปะหลัง 1 ถ้วย
  • แป้งถั่วเขียว 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเย็นจัด
  • น้ำแข็งทุบ

วิธีทำ
            
           1. ทำน้ำกะทิโดย ใส่น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น และกะทิลงในอ่างผสม ใช้มือขยำส่วนผสมเข้าด้วยกันจนน้ำตาลปี๊บละลายเข้ากันดี กรองด้วยตะแกรง 
            
           2. นำส่วนผสมน้ำกะทิขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนน้ำกะทิใกล้เดือด (ให้ส่วนผสมเดือดเฉพาะตรงกลาง ไม่เดือดพล่าน เพื่อไม่ให้กะทิแตกมัน) ประมาณ 10-15 นาที ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้ (สามารถทำไว้ล่วงหน้าหรือทำทิ้งไว้ข้ามคืนได้)
            
           3. ใส่ใบเตยลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำปูนใส 6-7 ถ้วย ปั่นจนละเอียด จากนั้นคั้นเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
            
           4. ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งถั่วเขียวลงไปในน้ำใบเตย โดยปล่อยให้แป้งค่อย ๆ จมลงไปในน้ำจนหมด (เทคนิค : ปล่อยให้แป้งจมลงไปในน้ำเอง รอประมาณ 1 นาที โดยไม่ต้องคน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า แป้งจะได้ไม่จับตัวเป็นก้อน และละลายเข้ากับน้ำทั้งหมด) พอแป้งจมลงหมดแล้ว ค่อย ๆ คนผสมจนเข้าดี จากนั้นกรองด้วยตะแกรง เตรียมไว้
            
           5. ใส่ส่วนผสมลงในกระทะก้นลึกขนาดใหญ่ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง กวนผสมตลอดเวลา ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง พอแป้งเริ่มเหนียว ค่อย ๆ เทน้ำปูนใสที่เหลือลงไปจนหมด กวนจนส่วนผสมเหนียว และมีสีใส
            
           6. ตักส่วนผสมแป้งใส่เครื่องกดลอดช่อง กดแป้งเป็นเส้น ๆ ลงในน้ำเย็นจัด จากนั้นตักส่วนผสมขึ้น ใส่ลงในถ้วย ตามด้วยน้ำกะทิที่เตรียมไว้ และน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

ขนมวุ้น

ขนมวุ้น













ส่วนผสม วุ้นกะทิ

  • ผงวุ้น 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 350 มิลลิลิตร
  • หัวกะทิ 2 1/2 ถ้วย
  • ใบเตย หั่นเป็นท่อน 2-3 ใบ
  • น้ำตาลทรายขาว 1/2 ถ้วย
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา


 ส่วนผสมวุ้นสี

  • ผงวุ้น 1 ช้อนชา
  • น้ำเปล่า
  • น้ำตาลทรายขาว 1/2 ถ้วย
  • สีผสมอาหาร 1 ช้อนชา

 วิธีทำ

  • ทำวุ้นกะทิ ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟพอร้อน
  • ใส่ผงวุ้นลงไปคนให้ละลาย พอน้ำเดือดแล้วให้ปิดไฟแล้วคนต่อไปเรื่อย ๆ จนผงวุ้นละลายหมด
  • ตามด้วยน้ำตาลทรายขาว คนผสมจนน้ำตาลทรายละลายและส่วนผสมเดือด
  • เทหัวกะทิใส่ลงไป คนผสมให้เข้ากันพอเดือดเล็กน้อย ปิดไฟ ยกลงจากเตา
  • หยอดส่วนผสมวุ้นลงในพิมพ์ซิลิโคนประมาณ 1/2 พิมพ์ พักทิ้งไว้จนเซตตัว

ขนมสาคู

ขนมสาคู


















สิ่งที่ต้องเตรียม

  • สาคูเม็ดเล็ก 1/2 ถ้วย
  •  น้ำ 2 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
  • กะทิสำเร็จรูป 1/2 ถ้วย
  • เกลือป่น เล็กน้อยสำหรับปรุงรส

วิธีทำ

           1. ล้างสาคูในน้ำให้สะอาด เตรียมไว้

           2. ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด ใส่เม็ดสาคูลงต้มจนสุก และใส จากนั้นใส่เมล็ดข้าวโพด และน้ำตาลทราย ต้มต่อจนเดือด ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้

           3. ใส่กะทิลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เติมเกลือป่นเล็กน้อย ต้มจนเดือด และข้น จากนั้นตักหยอดหน้าสาคูเปียกที่เตรียมไว้ พร้อมรับประทาน

         

กล้วยบวดชี

กล้วยบวดชี





















 สิ่งที่ต้องเตรียม
  • กล้วยน้ำว้าห่าม 8 ลูก
  • หางกะทิ 500 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลทราย ช้อนโต
  • เกลือปริมาณเล็กน้อย
  • หัวกะทิ 400 มิลลิลิตร
วิธีทำ


  1. ต้มกล้วยน้ำในน้ำเดือด นานประมาณ 3-5 นาที จนผิวกล้วยเริ่มแตกออก ตักขึ้น ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
  2. ต้มหางกะทิจนเดือด ใส่กล้วยตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือ ต้มจนเดือดอีกครั้ง ใส่หัวกะทิลงไป ต้มจนเดือดประมาณ 3 นาที ตักใส่ถ้วย พร้อมรับประทาน

สังขยาฟักทอง



 สังขยาฟักทอง

         เสน่ห์ของขนมไทยอย่างสังขยาฟักทองทำเอาหลายคนต้องยกนิ้วให้ เพราะทั้งความหอมนุ่มของสังขยา รวมทั้งเนื้อฟักทองแน่น ๆ ใครหนอช่างคิดเอาฟักทองมาทำขนมไทย เอาเถอะในเมื่อชอบกินขนาดนี้มาทำเองดีกว่า ก่อนอื่นหาฟักทองขนาดย่อม ๆ มาสักลูกแล้วคว้านเอาเนื้อออก เทส่วนผสมสังขยาใส่ลงไป พอนึ่งเรียบร้อยแล้วก็จัดการผ่าและโรยฝอยทองลงไป เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย

 ส่วนผสม สังขยาฟักทอง

  • ฟักทองลูกเล็ก 1 ลูก
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 100 กรัม
  • หัวกะทิ 1 ถ้วย


 วิธีทำสังขยาฟักทอง

           1. ใช้มีดเจาะไปที่ขั้วฟักทองออกให้เป็นฝา จากนั้นคว้านเอาไส้ออกจนหมดแล้วนำไปล้างให้สะอาด เตรียมไว้

           2. ผสมไข่ไก่กับน้ำตาลปี๊บ และหัวกะทิให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว นำไปกรองผ่านตะแกรง จากนั้นเทใส่ลงในผลฟักทอง โรยฝอยทองด้านบน

           3. ใส่สังขยาฟักทองลงชามกระเบื้องขนาดพอดีกัน จากนั้นนำไปนึ่งชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด นานประมาณ 30-40 นาที หรือจนฟักทองสุก ยกออกจากชุดนึ่ง พักไว้จนเย็น ตัดเป็นชิ้น ตกแต่งด้วยฝอยทอง พร้อมรับประทาน
รับชมวิธีการทำเพิ่มเติมได้ที่ คลิก

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ขนมบัวลอยไข่หวาน

ขนมบัวลอยไข่หวาน














1. บัวลอยไข่หวาน

          สูตรบัวลอยอันดับต้น ๆ ที่นึกถึงเลยคือ บัวลอยไข่หวาน สูตรนี้เนื้อแป้งใส่เผือก ฟักทอง และน้ำใบเตยลงไปด้วยทำให้ได้สีเม็ดบัวลอยจากธรรมชาติ หรือถ้าไม่สะดวกหาวัตถุดิบก็ใช้สีผสมอาหารแทนได้นะคะ บัวลอยเนื้อเหนียวนุ่มเข้ากันดีกับน้ำกะทิหวานหอม ยิ่งถ้ามีไข่หวานเคี้ยวสนุก ๆ ไปพร้อมกันด้วยแล้วละก็ อูย… ถูกใจใช่เลย !

ส่วนผสม บัวลอยไข่หวาน

  • แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย
  • เผือกนึ่งสุก (หรือสีผสมอาหารสีม่วง)
  • ฟักทองนึ่งสุก (หรือสีผสมอาหารเหลือง)
  • น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น (หรือสีผสมอาหารสีเขียว)
  • น้ำกะทิ 1 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • ไข่ไก่


 วิธีทำบัวลอยไข่หวาน

           1. แบ่งแป้งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 นวดผสมแป้งกับน้ำเปล่าและเผือกนึ่งสุก ส่วนที่ 2 นวดแป้งกับน้ำเปล่าและฟักทองนึ่งสุก ส่วนที่ 3 นวดแป้งกับน้ำใบเตย นวดผสมจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วนำไปคลุกแป้งข้าวเหนียวบาง ๆ เตรียมไว้ 

           2. ใส่น้ำกะทิลงในหม้อ เติมน้ำตาลทรายและเกลือป่นคนผสมจนละลาย นำขึ้นตั้งไฟพอเดือด รีบปิดไฟ เตรียมไว้

           3. ต้มน้ำเปล่าในหม้อจนเดือด นำบัวลอยลงต้มทีละสีจนลอยขึ้นมา จากนั้นตักขึ้นสะเด็ดน้ำ ใส่ลงในถ้วย ตักกะทิที่เตรียมไว้ใส่ลงไป

           4. ตอกไข่ไก่ใส่ถ้วย ค่อย ๆ เทลงในหม้อน้ำกะทิ รอจนไข่สุกตามชอบ จากนั้นตักใส่ลงในถ้วยบัวลอย พร้อมเสิร์ฟ

รับชมวิธีทำบัวลอยไข่หวาน คลิก

ขนมไทย

ขนมไทย

ที่มาของขนมไทย

                    ขนมไทยนั้นเกิดมีมานานแล้วตั้งแต่ประเทศไทยยังเป็นสยามประเทศ ซึ่งสมัยนั้นได้ติดต่อ ค้าขายกับต่างชาติ โดยมีการแลกเปลี่ยนติดต่อกันทั้งทางด้านสินค้าและวัฒนธรรม ขนมไทยในยุคแรกๆ เป็นเพียงนำข้าวไปตำหรือโม่ให้ได้แป้ง และนำไปผสมกับน้ำตาล หรือมะพร้าว เพื่อทำเป็นขนม แต่หลังจากการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ วัฒนธรรมด้านอาหารของต่างชาติก็เข้ามามีอิทธิพลกับอาหารไทยมากขึ้น ขนมก็ด้วยเช่นกัน ขนมไทย จึงมีความหลากหลายมากขึ้น จนปัจจุบันยังยากที่จะแยกออกว่า ขนมใดคือขนมไทยแท้


  









     
                   ยุคที่ขนมไทยมีความหลากหลายและเฟื่องฟูที่สุดคือ ช่วงที่สตรีชาวโปรตุเกส "มารี กีมาร์ เดอปิน่า " ได้สมรสกับเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ จนได้รับการแต่งตั้งเป็น ท้าวผู้หญิงวิชาเยนทร์ ต่อมาได้บรรดาศักดิ์ เป็น " ท้าวทองกีบม้า "

     โดยรับราชการในพระราชวัง ตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" สันนิษฐานว่าชื่อตำแหน่ง ทองกีบม้า น่าจะเพี้ยนมาจากชื่อ "ตองกีมาร์" นั้นเอง

     ระหว่างที่รับราชการอยู่นั้น ท้าวทองกีบม้าได้สอนการทำขนมหวานตำรับของชาวโปรตุเกส แก่บ่าวไพร่ ขนมเหล่านั้นได้แก่ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง สังขยา หม้อแกง ฯลฯ ซึ่งมีไข่เป็นส่วนผสมสำคัญ ต่อมามีการเผยแพร่สอนต่อกันมา จนขนมของท้าวทองกีบม้า เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จึงมีคนยกย่องท้าวทองกีบม้าให้เป็น "ราชินีขนมไทย"